การใช้สารเร่ง ซุปเปอร์พด.1 ทำปุ๋ยหมัก
   ปุ๋ยหมักเป็นปุ๋ยธรรมชาติชนิดหนึ่งที่ได้จากการนำเศษพืช เช่น ฟางข้าว เปลือกถั่ว เศษหญ้าและเศษพืชต่างๆ มาหมักร่วม
กับมูลสัตว์ ปุ๋ยเคมีและสารเร่งจุลินทรีย์ ทำการหมักและคลุกเคล้า(กลับกอง) ตามระยะเวลา จนกระทั่งเศษพืชย่อยสลายเปลี่ยนสภาพจากเดิมเป็นผง
เปื่อยยุ่ย ร่วนและมีสีน้ำตาลปนดำ จึงนำไปผสมดินหรือนำไปใส่ในไร่นา
  ประโยชน์ของปุ๋ยหมัก
 
1. ทำให้ดินโปร่ง ร่วนซุย
2. ช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน
3. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ยเคมี
4. สามารถลดปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีลง
5. ช่วยลดปริมาณขยะและการเผาทำลาย
6. ช่วยทำลายโรคคนและโรคพืชได้
7. ช่วยทำลายไข่ หนอน แมลงและเมล็ดวัชพืช
  วัสดุที่ใช้ทำปุ๋ยหมัก
  1. เศษพืช ซึ่งเป็นวัสดุหลัก
2. มูลสัตว์ต่างๆ เช่น ขี้วัว ขี้ควาย ขี้เป็ด ขี้ไก่
3.ปุ๋ยเคมีต่างๆที่มีไนโตรเจนสูงๆ(ปุ๋ยยูเรีย)
4. สารเร่งหรือเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์
  ควรกองปุ๋ยหมักไว้ในที่ไหนดี
  1.ควรอยู่ใกล้กองเศษพืช
2. อยู่ใกล้แหล่งน้ำ
3.อยู่บนที่ดอนน้ำไม่ท่วมขัง
4.อยู่ใกล้แหล่งที่จะนำปุ๋ยหมักไปใช้
5.หากมีปริมาณมาก,ใช้เครื่องจักรกลปฏิบัติงานต้องมีพื้นที่พอสมควร
  วิธีการกองปุ๋ยหมัก
  แบบใช้เศษพืช/มูลสัตว์/ปุ๋ยเคมี/สารเร่งจุลินทรีย์ อัตราส่วน เศษพืช 1,000 กก./มูลสัตว์ 200กก./ปุ๋ยยูเรีย 2 กก./สารเร่ง 1ซอง
ควรแบ่งทำทีละชั้น โดยกองเศษพืชแล้วรดน้ำ ย้ำให้แน่น ใส่วัสดุแต่ละชนิดตามลำดับ ให้เศษพืชหนาชั้นละประมาณ 30-50 ซม.ชั้นบนสุดใช้ดินกลบ
ให้หนา 2-3 นิ้ว เพื่อป้องกันแดดเผาและรักษาความชุ่มชื้นจากนั้นควบคุมความชื้นไม่แห้งหรือเปียกจนเกินไปควรกลับกองทุก7-10 วัน ภายใน
30-45 วัน ก็จะได้ปุ๋ยหมักใช้
  ปุ๋ยหมักใช้ได้หรือยัง สังเกตง่ายๆ คือ  
  1. สีของปุ๋ยจะเข้มขึ้น ( มีสีน้ำตาลคล้ำ-ดำ )
2. อุณหภูมิภายในกองลดลง( ไม่ร้อน )
3. เศษพืชจะมีลักษณะเปื่อยยุ่ย
4. กลิ่นไม่เหม็น (หอมเหมือนดินธรรมชาติ)
5. อาจพบต้นพืชขึ้นบนกอง
 
  วิธีการใช้และอัตราการใช้ปุ๋ยหมัก
  1. คลุกเคล้ากับดินรองก้นหลุมก่อนปลูกไม้ผลยืนต้น อัตรา 10-30 กก./ต้น
2. ใส่เพิ่มเติมรอบทรงพุ่ม(แล้วพรวนดินกลบ)อัตรา 20-50 กก./ต้น อย่างน้อยปีละครั้ง
3. ผสมดินปลูกไม้กระถาง ถุงเพาะชำกล้าไม้ ใช้สัดส่วน ดิน / ปุ๋ยหมัก / ทราย สัดส่วน 4 / 3 / 3 ถึง 4 / 1 / 1
4. ในแปลงพืชผัก ไม้ดอกไม้ ใช้อัตรา 2-3 ตัน/ไร่ ส่วนในแปลงพืชไร่หรือนาข้าวแนะนำให้ใช้ปุ๋ยพืชสดจะสะดวกกว่า และที่ง่ายที่สุดคือ การไถพรวนตอซังหลังเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วทุกครั้ง(ทันที)

 
 
 
 
การใช้สารเร่ง ซุปเปอร์พด.2
 

น้ำหมักชีวภาพ หมายถึง ปุ๋ยอินทรีย์ในรูปของเหลวที่ประกอบด้วยกรดอินทรีย์ และฮอร์โมนหรือสารเสริมการเจริญเติบ

โตพืชหลายชนิดผลิตได้จากการย่อยสลายวัสดุเหลือใช้หรือสัตว์ ซึ่งมีลักษณะสดหรืออวบน้ำ ให้เป็นของเหลวออกมาโดยเกิดจากกิจกรรมของจุลินทรีย์
์ในสภาพที่ ไม่มีออกซิเจนเป็นส่วนใหญ่ การผลิต
น้ำหมักชีวภาพโดยใช้สารเร่ง พด.2 1 ถุง (25 กรัม) ผลิตได้จำนวน 50 ลิตร
  อัตราส่วน ปุ๋ยอินทรีย์น้ำสูตรปลาหรือหอยเชอรี่ 3 ส่วน หรือ 30 กิโลกรัม
  1.ปลาหรือหอยเชอรี่ 3 ส่วน หรือ 30 กิโลกรัม
2. กากน้ำตาล 1 ส่วน 10 กิโลกรัม
3. รำข้าวละเอียด 5 กิโลกรัม
4. ผลไม้ 1 ส่วน 10 กิโลกรัม
5. น้ำ 1 ส่วน 10 ลิตร
6. ซุปเปอร์พด.2  2ซอง
  วิธีการทำ
  1. นำสารเร่ง ซุปเปอร์พด.2 จำนวน 2 ซอง ผสมน้ำ 10-15 ลิตร คนให้เข้ากันนาน 5 นาที
2. ผสมวัสดุพืชหรือสัตว์ (สับให้ละเอียดก่อนหมัก) กากน้ำตาล ลงในถังหมัก ขนาด 100 ลิตร แล้วเทสารละลาย พด.2
    ในข้อ 1 ผสมในถังหมัก
3. คุลกเคล้าหรือคนส่วนผสมให้เข้ากันอีกครั้ง แล้วตั้งในที่ร่ม
4. กรณีทำน้ำหมักชีวภาพจากปลาหรือหอยเชอรี่ให้คนหรือกวน ทุก 7 วัน เพื่อระบายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
5. ปิดฝาไม่ต้องสนิท หมักไว้ 21 วัน
  อัตราส่วน น้ำหมักชีวภาพผักหรือผลไม้ 4 ส่วน หรือ 40 กิโลกรัม
  1.ผักหรือผลไม้ 4 ส่วน หรือ 40 กิโลกรัม
2.กากน้ำตาล 1 ส่วน 10 กิโลกรัม
3.น้ำ 1 ส่วน 10 ลิตร
4.รำข้าวละเอียด 5 กิโลกรัม
5.สารเร่งซุปเปอร์พด.2 จำนวน 1 ซอง
  วิธีการทำ
  1. นำสารเร่ง ซุปเปอร์พด.2 จำนวน 2 ซอง ผสมน้ำ 10-15 ลิตร คนให้เข้ากันนาน 5 นาที
2. ผสมวัสดุพืชหรือสัตว์(สับให้ละเอียดก่อนหมัก)กากน้ำตาล ลงในถังหมัก ขนาด 100 ลิตร แล้วเทสารละลาย
     ซุปเปอร์พด.2ในข้อ 1 ผสมในถังหมัก
3. คุลกเคล้าหรือคนส่วนผสมให้เข้ากันอีกครั้ง แล้วตั้งในที่ร่ม
4. กรณีทำน้ำหมักชีวภาพจากปลาหรือหอยเชอรี่ให้คนหรือกวน ทุก 7 วัน เพื่อระบายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
5. ปิดฝาไม่ต้องสนิท
  อัตราและวิธีการใช้
  ผสมน้ำหมักชีวภาพ 1 ส่วนกับน้ำ 500 ส่วน หรือ 4 ช้อนแกงต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นที่ใบและลำต้น หรือ
รดลงดิน 10 วันต่อครั้ง
  ประโยชน์ของปุ๋ยอินทรีย์น้ำ 
  เร่งการเจริญเติบโตของรากพืช เร่งการขยายตัวของใบ และการยืดตัวของลำต้น เร่งการงอกของเมล็ดให้ดีขึ้น
เร่งให้ออกดอกและติดผลดีขึ้น

 
 
  การผลิตเชื้อจุลินทรีย์ควบคุมเชื้อสาเหตุโรคพืชโดยใช้สารเร่ง พด.3
  สารเร่ง พด.3 เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีคุณสมบัติเป็นปฏิปักษ์ต่อเชื้อสาเหตุโรคพืชในดิน โดยมีความสามารถป้องกันหรือ
ยับยั้งการเจริญของเชื้อโรคพืชที่ทำให้เกิดอาการรากหรือโคนเน่า และแปรสภาพแร่ธาตุในดินบางชนิดให้เป็นประโยชน์ต่อพืช เจริญได้ดีในดินที่มี  
อินทรีย์วัตถุสูงและมีความเป็นกรดเป็นด่างอยู่ระหว่าง 5.5 – 6.5 ได้แก่ เชื้อไตรโคเดอร์มา (Trchoderma sp.) และบาซิลลัส (Bacillus sp.)่
  ประโยชน์ของเชื้อ พด.3
  1. ป้องกันและควบคุมการเจริญของเชื้อสาเหตุโรคพืชเศรษฐกิจหลายชนิด ได้แก่
- โรครากและโคนเน่าของไม้ผลและไม้ยืนต้น เช่น ทุเรียน ส้ม และยางพารา
- โรคเน่าคอดินและลำต้นเน่าของพืชไร่ เช่น อ้อย มันสำปะหลัง สับปะรด ข้าวโพด พืชเส้นใยและพืชตระกูลถั่ว
- โรคเน่าและเหี่ยวของพืชผักและไม้ดอกไม้ประดับ เช่น พริก มะเขือเทศ แตง กะหล่ำปลี เบญจมาศ และมะลิเป็นต้น
  2. ช่วยแปรสภาพแร่ธาตุในดินให้อยู่ในรูปที่เป็นประโยชน์ต่อพืช
3. ทำให้รากพืชแข็งแรงและพืชเจริญเติบโตได้ดี
  วิธีการขยายเชื้อ พด.3
  1. วัสดุสำหรับขยายเชื้อ
- ปุ๋ยหมัก 100 กิโลกรัม , รำข้าว 5 กิโลกรัม, สารเร่ง พด.3 2 ถุง (25 กรัม)
  2. วิธีทำ
- ผสมสารเร่ง พด.3 และรำข้าวในน้ำ 5 ลิตร คนให้เข้ากัน นาย 5 นาที
- รดสารเร่งละลาย พด.3 ลงในกองปุ๋ยหมักคลุกเคล้าให้เข้ากันและให้มีความชื้น 60 เปอร์เซ็นต์
- ตั้งกองปุ๋ยหมักเป็นรูปสีเหลี่ยมผืนผ้าให้มีความสูงประมาณ 50 เซนติเมตร (กองปุ๋ยหมักให้อยู่ในที่ร่มเป็นเวลา 7 วัน)
  การดูแลรักษาการขยายเชื้อ พด.3
  1. ความชื้น : ให้ความชื้นกองปุ๋ยหมักอย่างสม่ำเสมอและใช้วัสดุคลุมกองปุ๋ยหมัก
2. การเก็บรักษาเชื้อ พด.3 : หลังจากขยายเชื้อเป็นเวลา 7 วัน เชื้อ พด.3
                         ในกองปุ๋ยหมักจะเพิ่มปริมาณสูงขึ้นโดยสังเกตกลุ่มของสปอร์และเส้นใยทีมีลักษณะสีเขียวเจริญอยู่ในกองปุ๋ยหมักเป็นจำนวน
มาก และคลุกเคล้าให้เข้ากัน นำไปเก็บไว้ในที่ร่ม
  อัตราและวิธีการใช้เชื้อ พด.3
  พื้นที่เกษตร อัตราเชื้อ พด.3 วิธีการใช้ แปลงปลูกพืช
  1. พืชไร่ พืชผัก หรือไม้ดอก ไม้ประดับ
2. ไม้ผลหรือไม้ยืนต้น  100 กิโลกรัมต่อไร่  3 กิโลกรัมต่อต้น ใส่ระหว่าง แถวก่อนหรือหลัง ปลูกพืช

เตรียมหลุมปลูก : ใส่โดยคลุกเคล้ากับดินแล้วใส่ไว้ในหลุม
ต้นพืชที่เจริญแล้ว : ใส่รองทรงพุ่มและหว่านให้ทั่วภายใต้ทรงพุ่ม
แปลงเพาะกล้า 1 กิโลกรัมต่อพื้นที่10 ตารางเมตรโรยให้ทั่วแปลงเพาะกล้า

 
 
 
 
 
 
 
 
 
สารเร่ง พด.6 สำหรับผลิตสารบำบัดน้ำเสียและขจัดกลิ่นเหม็นจากเศษอาหารเหลือทิ้ง  
  ในปัจจุบัน จำนวนขยะที่เพิ่มขึ้นดูจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ผลจากการทิ้งเศษอาหาร เศษผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ต่างๆ
ได้ก่อให้เกิดมลภาวะและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม กรมพัฒนาที่ดิน เล็งเห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจึงได้มีการพัฒนาสารเร่ง พด.6 ขึ้นเพื่อแก้ปัญหาดัง
กล่าว โดยการนำขยะเปียก ได้แก่ เศษอาหาร เศษผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ต่าง ๆ กลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์สามารถนำไปใช้เป็นปุ๋ยเพื่อเพิ่มผลผลิตทาง
การเกษตร มีคุณสมบัติในการทำความสะอาดคอกสัตว์ บำบัดน้ำเสีย และขจัดกลิ่นเหม็นตามท่อระบายน้ำ และยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม
  ความหมายของสารเร่ง พด.6
  สารเร่ง พด.6 เป็นเชื้อจุลินทรีย์ที่มีคุณสมบัติในการเพิ่มประสิทธิภาพการหมักเศษอาหารในสภาพที่ไม่มีออกซิเจน เพื่อผลิต
ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ สำหรับทำความสะอาดคอกสัตว์ ปรับสภาพน้ำในบ่อกุ้งหรือบ่อปลา ปรับสภาพน้ำ บำบัดน้ำเสีย และลดกลิ่นเหม็นตามท่อระบายน้ำ ซึ่ง
  ประโยชน์ของสารเร่ง พด.6
  1. ทำความสะอาดคอกสัตว์ เนื่องจากค่าความเป็นกรดเป็นด่างของปุ๋ยอินทรีย์น้ำอยู่ระหว่าง 3- 4มีผลทำให้จุลินทรีย์ที่ก่อให้
้    เกิดการ เน่าเหม็นไม่สามารถเจริญเติบโตได้
2. ช่วยปรับสภาพน้ำในบ่อเลี้ยงกุ้งและบ่อเลี้ยงปลาให้เหมาะสมและส่งเสริมการเจริญเติบโตของสัตว์น้ำที่เลี้ยง
3. ช่วยบำบัดน้ำเสียและลดกลิ่นเหม็นตามท่อระบายน้ำ ซึ่งเกิดจากกิจกรรมของจุลินทรีย์ที่ย่อยโปรตีน ไขมัน และผลิตกรดอินทรีย์
  วิธีทำปุ๋ยอินทรีย์น้ำจากเศษอาหารเหลือทิ้ง
  1. นำเศษวัสดุและน้ำตาลผสมลงในถังหมัก
2. ละลายสารเร่ง พด.6 ในน้ำ 10 ลิตร แล้วเทลงในถังหมัก
3. คลุกเคล้าหรือคนให้ส่วนผสมเข้ากัน
4. ปิดฝาไม่ต้องสนิท ใช้ระยะเวลาหมัก 20 วัน
  อัตราและวิธีการใช้
  1. การทำความสะอาดคอกสัตว์และบำบัดน้ำเสียให้เจือจางปุ๋ยอินทรีย์น้ำ : น้ำ เท่ากับ 1:10 แล้วเทปุ๋ยอินทรีย์น้ำที่เจือจาง
    แล้วลงบริเวณที่บำบัดทุกวัน หรือทุก ๆ 3 วัน
2. การใส่ในบ่อกุ้ง และบ่อปลา ใช้ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ 100 มิลลิลิตรต่อปริมาณน้ำในบ่อ 1 ลูกบาศก์เมตร ให้ใส่ทุก ๆ 10 วัน
  ประโยชน์ของสารเร่งพด.6
  ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ ที่ได้จากการย่อยสลายเศษวัสดุเหลือใช้จากส่วนต่าง ๆ ของพืชหรือสัตว์ โดยผ่านกระบวนการหมักในสภาพที่
ไม่มีออกซิเจน(Anaerobic Condition) มีจุลินทรีย์ทำหน้าที่ย่อยสลายเศษซากพืชและซากสัตว์เหล่านั้น ให้กลายเป็นสารละลาย รวมถึงการ
ใช้เอนไซด์เพื่อเร่งการย่อยสลาย ทำให้เกิดกระบวนการย่อยสลายได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น และได้ของเหลวสีน้ำตาล นับเป็นนวัตกรรมใหม่
่ที่ช่วยส่งเสริมให้สามารถเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม และช่วยลดต้นทุนในการนำเข้าสารเคมีจากต่างประเทศ  

 
 
 
 สารเร่ง พด.7 สำหรับผลิตสารป้องกันแมลงศัตรูพืช   
  เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่ของประเทศไทย มีการประกอบอาชีพทางการเกษตรและสามารถปลูกพืชได้ตลอดปี เช่น ทำสวนผลไม้
ทุเรียน มังคุด ส้ม ทำไร่ข้าวโพด อ้อย มันสำปะหลัง และสับปะรด เป็นต้น จึงมีผลทำให้สภาพพื้นที่เพาะปลูกเกิดปัญหาด้านศัตรูพืชอย่างรุนแรงและ
ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชเป็นจำนวนมากและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตลอดมา ซึ่งก่อให้เกิดสาร
พิษปนเปื้อนในดินและน้ำ และตกค้างอยู่ในผลผลิตทางการเกษตรประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นการใช้จุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการสกัดสาร
กำจัดแมลงศัตรูพืชจากพืชสมุนไพรหลายชนิด ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ ที่ผลิตโดยกรมพัฒนาที่ดิน คือ สารเร่ง พด.7 สำหรับใช้ผลิตสารป้องกันแมลงศัตรู
ูพืชที่มีคุณภาพ สารสกัดจากพืชสมุนไพรจะมีความเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิต และสภาพแวดล้อมน้อยกว่าสารเคมีมาก เนื่องจากมีการสลายตัวได้รวดเร็ว
และจะมีคุณสมบัติในการเป็นสารขับไล่แมลงเป็นส่วนใหญ่ เป็นการช่วยลดปัญหามลพิษที่มีผลกระทบต่อทรัพยากรดิน น้ำและสิ่งแวดล้อม รวมถึงให้
้ความปลอดภัยต่อผู้ผลิตและผู้บริโภคด้วย
  สารเร่ง พด.7 หมายถึง เชื้อจุลินทรีย์ที่มีคุณสมบัติในการเพิ่มประสิทธิภาพการหมักและย่อยสลายวัสดุเหลือใช้จากพืชสมุนไพร
ในสภาพที่ไม่มีออกซิเจน เพื่อผลิตสารป้องกันแมลงศัตรูพืช
  สรรพคุณ
  ป้องกันแมลงศัตรูพืช เช่น เพลี้ยชนิดต่าง ๆ หนอนเจาะผลและลำต้น หนอนใยผัก หนอนชอนใบ หนอนคืบ หนอนกระทู้ หนอนกอ ไรแดง และแมลงหวี่ เป็นต้น
  วัสดุสำหรับผลิตสารป้องกันแมลงศัตรูพืช (จำนวน 50 ลิตร)
  1. สมุนไพร 30 กิโลกรัม
2. น้ำตาล 10 กิโลกรัม
3. น้ำ 30 ลิตร
4. สารเร่ง พด.7 1 ซอง (25 กรัม)
  วิธีทำ
  1. สับพืชสมุนไพรให้เป็นชิ้นเล็ก หรือทุบ
2. ละลายสารเร่ง พด.7 ในน้ำ 30 ลิตร ในถังหมักผสมให้เข้ากันนาน 5 นาที
3. นำสมุนไพรและน้ำตาล ผสมลงในถังหมักคลุกเคล้าให้เข้ากัน
4. ปิดฝาไม่ต้องสนิท ทำการหมักเป็นเวลา 20 วัน
  อัตราการใช้
  สารป้องกันแมลงศัตรูพืช : น้ำ เท่ากับ 1 : 200 สำหรับพืชไร่ และไม้ผล
สารป้องกันแมลงศัตรูพืช : น้ำ เท่ากับ 1 : 500 สำหรับพืชผัก และไม้ดอก
  วิธีการใช้  
                   นำสารป้องกันแมลงศัตรูพืชที่เจือจางแล้ว 50 ลิตรต่อไร่ สำหรับใช้ในพืชไร่ พืชผัก และไม้ดอก และ 100 ลิตรต่อไร่ สำหรับใช้ในไม้ผล โดยฉีดพ่นที่ใบ ลำต้น และรดลงดิน ทุก 20 วัน หรือในช่วงที่มีแมลงศัตรูพืชระบาดให้ฉีดพ่นทุก ๆ 3 วัน ติดต่อกัน 3 ครั้ง
  ข้อควรระวัง
  1. เก็บสารเร่ง พด.7 ไว้ในที่ร่ม
2. เมื่อเปิดถุงแล้วใช้ให้หมดในครั้งเดียว
3. กากวัสดุที่เหลือจากการหมักให้นำไปใส่ร่วมกับการผลิตสารป้องกันแมลงศัตรูพืชครั้งใหม่ต่อไป

 
 

สารเร่งพด.8 สำหรับผลิตเชื้อจุลินทรีย์ละลายฟอสฟอรัสในดิน

สารเร่ง พด. 8 ประเทศไทยมีพื้นที่ดินกรดเกือบครึ่งหนึ่งของประเทศไทยมีประมาณ 140 ล้านไร่ (44เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ทั้งหมด) ดินกรดโดยทั่วไปที่จัดว่ามีปัญหาต่อการเกษตรจะมีค่าความเป็นกรดเป็นด่างของดินต่ำกว่า5.5มีสาเหตุสำคัญเกิดขึ้นเนื่องจากการเกิดการชะล้างอย่าง
รุนแรงในอดีต และเป็นไปอย่างต่อเนื่องจนถึง ปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งขาดการเอาใจใส่ในการปรับปรุงบำรุงดินรวมถึงการเผาทำลายตอซังข้าว
ซึ่งมีผลทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ เพิ่มมากขึ้นและทำให้ดินมีปัญหาเป็นกรด พืชจึงไม่สามารถดูดซับธาตุ อาหารมาใช้ประโยชน์ โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งฟอสฟอรัสจะถูกตรึงไว้ในดิน ฟอสฟอรัสเป็นธาตุอาหารอีกธาตุหนึ่ง ที่มีความสำคัญอย่างมาก ต่อการ เจริญเติบโตของพืช โดยมีบทบาทต่อ
การสร้างราก การแตกกอ และการ แตกแขนงของกิ่งก้าน ทำให้มีการสร้างดอกและเมล็ดของพืชเพาะปลูก ดังนั้น กรมพัฒนาที่ดินจึงได้นำกลุ่มจุลินทรีย์
์ที่มีความสามารถในการละลายฟอสฟอรัส เพื่อเพี่มความเป็นประโยชน์ของฟอสฟอรัสในดินร่วมกับ การไถกลบตอซังและปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์
์ "สารเร่ง พด.8" สำหรับผลิตเชื้อจุลินทรีย์ละลายฟอสฟอรัส ในดินที่ทำการเกษตรเป็นเวลานาน ขาดการปรับบำรุงดินด้วยอินทรียวัตถุ ทำให้ดินเป็น
กรดและเกิดปัญหา ในการใช้ฟอสฟอรัสกับพืช

 

ประโยชน์ของสารเร่ง พด.8
1. เพิ่มความเป็นประโยชน์ของฟอสฟอรัสในดิน
2. ทำให้พืชเจริญเติบโตและสมบูรณ์

 
Top>>
 

สารเร่งพด.9 สำหรับผลิตเชื้อจุลินทรีย์เพิ่มความเป็นประโยชน์ของฟอสฟอรัสในดินเปรี้ยว

   

                      ดินเปรี้ยวเป็นปัญหาดินหลักที่เกิดจากสภาพธรรมชาติซึ่งมีผลกระทบต่อพื้นที่ทางการเกษตรโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ลุ่มที่มี
การเพาะปลูกข้าว ประมาณ 5.3 ล้านไร่ ดินเปรี้ยวหรือดินกรดกำมะถันเป็นดินที่มีสารไพไรท์มากเมื่อสารไพไรท์นี้ถูกทำให้แห้งจะแปรสภาพเป็นสาร
ประกอบ จาโรไซท์ที่มีลักษณะเป็นจุดประสีเหลืองฟางข้าว หรือมีกรดกำมะถันเกิดขึ้นภายในความลึก 150 เซนติเมตร ทำให้ปฏิกิริยาดินเป็นกรดรุน
แรงมากถึงรุนแรงมากที่สุด มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างของดินต่ำกว่า 4.0 ระดับความรุนแรงของดินเปรี้ยวขึ้นอยู่กับระดับความลึกของชั้นดินกรด
กำมะถัน ปัญหาของดินเปรี้ยวได้แก่ ดินเป็นกรดรุนแรง ทำให้เกิดความไม่สมดุลของธาตุอาหาร โดยจะมีอะลูมินั่ม เหล็ก และแมงกานีสละลายออกมา
มากจนเป็นพิษต่อพืชที่ปลูก ลดความเป็นประโยชน์ของฟอสฟอรัส น้ำมีรสฝาดไม่เหมาะสมต่อการเกษตรและใช้อุปโภค บริโภค ในบ่อเลี้ยงปลาอาจ
เกิดความเป็นพิษของก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์และคาร์บอนไดออกไซด์ดังนั้นกรมพัฒนาที่ดินจึงได้นำกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีความสามารถในการเพิ่มความเป็น
ประโยชน์ของฟอสฟอรัสในสภาพดินดังกล่าว ร่วมกับการไถกลบตอซังและการปรับปรุงบำรุงดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์และวัสดุปรับปรุงบำรุงดินสารเร่ง
พด.9 สำหรับผลิตเชื้อจุลินทรีย์เพิ่มความเป็นประโยชน์ของฟอสฟอรัสในดินเปรี้ยวน้อยซึ่งเป็นดินกรดกำมะถันที่มีความรุนแรงของกรดน้อย (pH 5)

ประโยชน์ของสารเร่ง พด.9
1. เพิ่มความเป็นประโยชน์ของฟอสฟอรัสในดินปรี้ยวน้อย หรือ pH ไม่ต่ำกว่า 5.0
2. ทำให้พืชเจริญเติบโตและสมบูรณ์


วัสดุสำหรับผลิตจุลินทรีย์เพิ่มความเป็นประโยชน์ของฟอสฟอรัสในดินเปรี้ยวน้อย
1. กากน้ำตาล 1 กิโลกรัม
2. น้ำ 10 ลิตร
3. ปุ๋ยหมัก 100 กิโลกรัม
4. รำข้าว 1 กิโลกรัม
5. สารเร่ง พด. 9 1 ซอง (25 กรัม)

วิธีทำ
1. ละลายสารเร่ง พด. 9 ในน้ำ กากน้ำตาล และรำข้าวในถัง กวนผสมให้เข้ากันนาน 10 นาที
2. นำสารละลาย พด. 9 ผสมในปุ๋ยหมัก 100 กิโลกรัม คลุกเคล้าส่วนผสมให้เข้ากันอย่างสม่ำเสมอ และให้มีความชื้น 60 เปอร์เซ็นต์
3. ตั้งกองปุ๋ยหมักให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ความสูง 50 เซนติเมตร
4. กองปุ๋ยหมักในที่ร่มเป็นเวลา 7 วัน แล้วนำไปใช้

 
Top>>
 

 

สารเร่งพด.10 สารปรับปรุงดินทรายเสื่อมโทรม

                       เป็นสารสำหรับใช้ปรับปรุงดินทรายและดินเสื่อมโทรม ให้มีคุณสมบัติทั้งทางกายภาพและทางเคมีให้ดีขึ้น เหมาะสำหรับการ
ปลูกพืช เช่น การทำให้ดินร่วนซุย มีโครงสร้างที่คงทน ไม่ยุบตัวหรืออัดแน่นง่ายจึงทำให้ดินมีความสามารถอุ้มน้ำและรักษาความชุ่มชื้นในดินไว้ได้
้มากขึ้น
                       สาร พด. 10 ทำให้ดินมีความอุดม สมบูรณ์ดีขึ้น โดยไปเพิ่มความสามารถในการแลกเปลี่ยนธาตุประจุบวกของดิน ทำให้ดินดูด
ยึดธาตุอาหารไว้ให้พืชได้นำไปใช้ได้มากขึ้น จึงช่วยลดปริมาณปุ๋ยที่จำเป็นต้องใช้อีกด้วย
                       พด.10 ทำมาจากขี้แป้งซึ่งเป็นแร่ดินเหนียวเบนทอไนต์ที่เป็นกากเหลือทิ้งจากกระบวนการฟอกส ีในการผลิตน้ำมันพืชที่ใช้
สำหรับประกอบอาหารโดยนำมาหมักกับวัสดุอินทรีย์อื่นๆในสัดส่วนที่เหมาะสม เนื่องจากขี้แป้งมีความเป็นกรดอย่างรุนแรงและดูดซับน้ำมันติดมา
ได้มากถึง 30-40% จึงไม่ดูดซับน้ำ ดังนั้น ในกระบวนการหมักจึงจำเป็นต้องใส่ปูนเพื่อปรับสภาพกรดและใช้สารเร่งในการผลิตปุ๋ยหมักของกรม
พัฒนาที่ดิน (พด.1 ) ช่วยย่อยสลายให้ เร็วขึ้น
                       การกำจัดกากเหลือทิ้งเบนทอไนต์ส่วนใหญ่แล้ว จะนำไปใช้ถมที่หรือนำไปกอง
ทิ้งไว้ ขี้แป้งจะติดไฟง่าย และมีกลิ่นเหม็นเมื่อปล่อยให้ย่อยสลายตามธรรมชาติ ทำให้เกิดมลภาวะ เป็นผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและสุขภาพของ
ชุมชน ดังนั้นการนำขี้แป้งมาแปรรูปเป็นสารพด.10 นอกจากจะนำมาใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงดินแล้ว ยังช่วยแก้ ปัญหาในการกำจัดกากเหลือทิ้ง
ดังกล่าวและช่วยรักษาสภาพแวดล้อม

 

Top>>